1. ความสะอาด (Clarity)
2. สี (Color)
3. การเจียระไน (Cut)
4. น้ำหนักกะรัต (Carat Weight)
1. ความสะอาด (Clarity) ความสะอาดของเพชรแบ่งลำดับตั้งแต่ ไม่มีตำหนิ(Flawless) จนถึงมีรอยตำหนิมาก (Imperfect) ซึ่งความสะอาดของเพชรนั้นจะต้องพิจารณาทั้งตำหนิภายในและตำหนิภายนอก ซึ่งจะพิจารณาจาก
1.ขนาด
2.จำนวน
3.ตำแหน่ง
4.สี
5.ความเป็นธรรมชาติของตำหนิ
2.สี (Color) ให้มองว่ามีความแตกต่างจาก สีใสไม่มีสี มากเท่าไหร่ เพราะเพชรส่วนมากจะมีร่องรอยของสีเหลือง น้ำตาล หรือเทา (ยกเว้นเพชรที่เรียกว่าสีแฟนซี ได้แก่ น้ำเงิน ชมพู ม่วง หรือแดง) เพชรที่ใส ไม่มีสีจะมีคุณค่ามาก แต่เพชรที่มีสีแดงนั้นจะมีราคาสูงมากและหายากมาก (ถ้าใครเคยดูหนังเรื่อง Blood Diamond น่าจะพอนึกภาพออกนะคะ เพราะในหนังนั้น ฆ่ากันตายระนาว เพราะเพชรสีเลือดนี่แหระค่ะ)
3.การเจียระไน(Cut) หมายถึงสัดส่วนและความประณีตในการเจียระไน เมื่อพูดถึงการเจียระไนจะหมายถึงรูปทรงของเพชรเช่น การเจียระไนแบบมรกต, แบบเหลี่ยมเกสร แบบมาคีล์ เป็นต้น
การเจียระไนมีผลต่อ
-ปริมาณน้ำหนักที่เหลือจากการเจียระไนเพชรก้อน
-ความสวยของเพชรที่ได้รับจากการเจียระไนตามแบบสมัยนิยม
4.น้ำหนักกะรัต (Carat Weight) 1 กะรัต = 0.200 กรัม ซึ่งเป็นหน่วยมาตรฐานบอกน้ำหนักของเพชร และพลอยชนิดอื่นๆ เพชรยิ่งมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ ยิ่งมีคุณค่ามากเท่านั้น
Tip: คุณค่าของเพชรนั้นไม่ได้อยู่ที่ว่าขนาดใหญ่อย่างเดียว แต่หากว่าเพชรที่เม็ดเล็กนั้น มีสัดส่วนในการเจียระไนที่ได้รูปแล้ว จะทำให้เกิดประกายเจิดจรัส ไม่มีตำหนิ และสีใสแล้วละก็ เพชรเม็ดเล็กก็น่าจะล้ำค่ากว่าเพชรที่เม็ดใหญ่ ที่สี, ความสะอด และสัดส่วนในการเจียระไนที่ด้อยกว่า เหมือนกับคำโบราณที่ท่าวกล่าวไว้ว่า "เล็กพริกขี้หนู" ยังไงล่ะค่ะ
..............
ครั้งหน้าเรามาดูต้นกำเนิดของเพชรกันนะคะว่า เพชรที่แสนจะเลอค่านั้น กำเนิดมาได้อย่างไร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น